สีรถยนต์เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ผู้บริโภคใช้ในการตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์ นอกเหนือจากความสวยงามและความชอบส่วนตัวแล้ว การดูแลรักษาสีรถยนต์ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะสีรถยนต์บางสีอาจดูแลรักษายากกว่าสีอื่นๆ บทความนี้ Sanook Auto จะมาแนะนำสีรถยนต์ที่ดูแลรักษาง่ายที่สุด พร้อมทั้งสาเหตุที่ทำให้สีรถยนต์บางสีดูแลรักษายากกว่าสีอื่นๆ
ทำไมสีรถถึงดูแลยากง่ายแตกต่างกัน
สีรถยนต์แต่ละสีมีความแตกต่างกันในเรื่องของส่วนประกอบและคุณสมบัติทางกายภาพ ซึ่งส่งผลต่อความยากง่ายในการดูแลรักษา ดังนี้
-
ความเข้มของสี - สีรถยนต์ที่มีความเข้มมาก เช่น สีดำ จะเห็นรอยขีดข่วนและคราบสกปรกได้ง่ายกว่าสีอ่อน
-
ประเภทของสี - สีรถยนต์บางประเภท เช่น สีเมทัลลิก จะมีชั้นเคลือบพิเศษที่ช่วยป้องกันรอยขีดข่วนและคราบสกปรกได้ดีกว่าสีธรรมดา
-
สภาพอากาศ - สภาพอากาศที่ร้อนจัดหรือมีฝุ่นละอองมาก จะทำให้สีรถยนต์ซีดจางและมีคราบสกปรกได้ง่ายขึ้น
3 สีรถดูแลยากที่สุด
-
สีดำ - สีดำเป็นสีที่สวยงามและดูหรูหรา แต่ก็เป็นสีที่ดูแลรักษายากที่สุด เพราะเห็นรอยขีดข่วนและคราบสกปรกได้ง่ายมาก
-
สีแดง - สีแดงเป็นสีที่สดใสและสะดุดตา แต่ก็เป็นสีที่ซีดจางได้ง่ายเมื่อโดนแสงแดด
-
สีน้ำเงินเข้ม - สีน้ำเงินเข้มเป็นสีที่ดูดีมีสไตล์ แต่ก็เป็นสีที่เห็นรอยขีดข่วนและคราบสกปรกได้ง่ายเช่นกัน
อยากดูแลง่ายต้องเลือก 3 สีนี้
-
สีบรอนซ์เงิน - สีบรอนซ์เงินเป็นสีที่ดูแลรักษาง่ายที่สุด เพราะเห็นรอยขีดข่วนและคราบสกปรกได้ยาก นอกจากนี้ สีบรอนซ์เงินยังเป็นสีที่ทนทานต่อแสงแดดและสภาพอากาศได้ดี
-
สีเทา - สีเทาเป็นสีที่ดูแลรักษาง่ายเช่นเดียวกับสีบรอนซ์เงิน เพราะเห็นรอยขีดข่วนและคราบสกปรกได้ยาก นอกจากนี้ สีเทายังเป็นสีที่ดูสุภาพและเรียบง่าย
-
สีขาว - สีขาวเป็นสีที่ดูแลรักษาง่าย เพราะเห็นรอยขีดข่วนและคราบสกปรกได้ยาก นอกจากนี้ สีขาวยังเป็นสีที่สะท้อนความร้อนได้ดี ทำให้รถยนต์ไม่ร้อนมาก
การเลือกสีรถยนต์ที่ดูแลรักษาง่าย จะช่วยให้คุณประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษารถยนต์ได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคุณจะเลือกสีรถยนต์สีใด ก็ควรดูแลรักษารถยนต์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้รถยนต์ของคุณดูดีและมีอายุการใช้งานยาวนาน