เมื่อถึงรอบระยะเวลาการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง เจ้าของรถหลายคนอาจลังเลว่าควรเลือกใช้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ 100% หรือกึ่งสังเคราะห์ดีกว่ากัน เพราะทั้งสองแบบมีค่าใช้จ่ายแตกต่างกันพอสมควร แถมยังใช้งานได้เหมือนๆ กัน วันนี้ Sanook Auto จะพาคุณผู้อ่านไปรู้จักคุณสมบัติของน้ำมันเครื่องแต่ละแบบว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง และควรเติมน้ำมันเครื่องประเภทไหนจึงจะดีที่สุด
น้ำมันเครื่องสามารถแบ่งออกเป็น 3 เกรดหลักๆ ได้แก่
ซึ่งแน่นอนว่าน้ำมันเครื่องชนิดสังเคราะห์แท้ 100% ย่อมจะมีราคาสูงกว่าน้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์และแบบธรรมดา เนื่องมาจากน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้มีส่วนผสมที่ดีกว่าน้ำมันเครื่องประเภทอื่น โดยนอกจากจะใช้น้ำมันพื้นฐานที่ได้จากการกลั่นน้ำมันดิบ (Mineral Oil) ซึ่งเป็นน้ำมันที่ได้จากธรรมชาติแล้วนั้น ยังผ่านการปรับแต่งเพื่อให้มีคุณสมบัติในการเป็นสารหล่อลื่นได้ดีกว่า รวมถึงมีสารเพิ่มประสิทธิภาพ (Additives) ในปริมาณที่สูงกว่า ช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของเครื่องยนต์ได้ดีกว่าในระยะยาว
นอกจากนี้ น้ำมันเครื่องประเภทสังเคราะห์แท้ 100% ยังสามารถทำหน้าที่ลดการสึกหรอได้ดีในช่วงที่เครื่องยนต์อุณหภูมิสูง อันเป็นผลจากความเสถียรที่สูงกว่าของค่าดัชนีความหนืด ซึ่งนอกจากจะช่วยลดการสึกหรอของเครื่องยนต์ได้ดีกว่าแล้ว ยังมีผลในด้านการเพิ่มสมรรถนะการทำงานของเครื่องยนต์ อีกทั้งน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ 100% ยังมีความทนต่อการทำปฏิกิริยากับออกซิเจน (Oxidation) ทำให้คุณสมบัติการหล่อลื่นมีความทนทาน ไม่เสื่อมสภาพง่าย ส่งผลให้มีระยะการใช้งานยาวนานกว่า ยืดระยะการเปลี่ยนถ่ายได้นานกว่าน้ำมันเครื่องประเภทอื่นนั่นเอง
ส่วนน้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Semi-synthetic) ที่หลายคนนิยมใช้ เนื่องจากมีราคาประหยัดกว่าน้ำมันเครื่องแบบสังเคราะห์แท้เกือบเท่าตัว อันที่จริงแล้วก็คือน้ำมันเครื่องเกรดธรรมดา (Mineral) ที่มีส่วนผสมของน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ (Fully-synthetic) อย่างน้อย 10% ขึ้นไป ส่งผลให้ประสิทธิภาพการหล่อลื่นทำได้ดีกว่าน้ำมันเครื่องเกรดธรรมดา โดยไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเท่ากับน้ำมันเครื่องเกรดสังเคราะห์แท้ แลกกับอายุการใช้งานที่สั้นกว่า
แม้ว่าน้ำมันเครื่องแต่ละเกรดจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป แต่ก็สามารถเติมได้ทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้องเลือกเฉพาะเกรดสังเคราะห์แท้ 100% เท่านั้น แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะที่กำหนดเสมอ ก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ได้แล้วครับ