การเรียนรู้ความคิดเห็นและเหตุผลของการกระทำแต่ละฝ่าย จะช่วยให้คุณเข้าใจและมีน้ำใจกับเพื่อนร่วมท้องถนนได้มากขึ้นกว่าเดิม
เห็นกันอยู่บ่อยครั้งที่รถมอเตอร์ไซค์ทะเลาะวิวาทกันกับคนขับรถมอเตอร์ไซค์ สาเหตุหลักก็มาจากการที่ทั้งสองฝ่าย “ไม่เข้าใจ” มุมมองของกันและกัน และก็มาจากการที่กฎหมายการจราจรในประเทศไทยถูกบังคับใช้แบบ ไม่จริงจัง ใคร ๆ ก็คิดว่าแค่เสียค่าปรับก็จบ
มุมมองคนขับรถมอเตอร์ไซค์จะค่อนข้างกว้างกว่าคนขับรถยนต์ โดยที่บางทีทัศนวิสัยที่กว้างกว่านี้ทำให้มอเตอร์ไซค์ขับเปลี่ยนเลนได้อย่างรวดเร็วและซิกแซกได้มากกว่า
รวมถึงมุมมองต่อการกะระยทาง ที่เมื่อมองด้วยมุมมองของตัวบุคคลแล้ว ระยะที่ห่างสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ อาจกระชันสำหรับรถยนต์ก็เป็นได้
รถยนต์ที่มีขนาดใหญ่จะเข้าใจตรงกันว่า ขณะขับรถจะมีจุดอับสายตาอยู่ค่อนข้างเยอะ เวลาขับจึงไม่สามารถเห็นรถได้อยากชัดเจน แต่นั่นไม่ใช่กับทัศนวิสัยของรถมอเตอร์ไซค์ ทำให้เวลารถมอเตอร์ไซค์ทำการเปลี่ยนเลนสามารถได้ทำค่อนข้างรวดเร็วและแม่นยำกว่ารถยนต์
เพียงแต่ว่า แม้จะสามารถกะระยได้ง่ายและมีทัศนวิสัยที่กว้างกว่ารถใหญ่ แต่สิ่งที่คนขับมอเตอร์ไซค์หลายคนลืมคำนึงถือ ตัวรถมอเตอร์ไซค์ค่อนข้างเล็ก และรถยนต์ที่มาด้วยความเร็วสูงนั้นมีโอกาสที่เบรกไม่ทันทำให้เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุตามมา
ดังนั้นไม่ใช่แค่เพียงคนขับมอเตอร์ไซค์อย่างเดียวที่ควรรู้จักกะความเร็วรถให้ดี แต่รถใหญ่เองก็ต้องรู้ “ธรรมชาติ” ของรถมอเตอร์ไซค์และคอยระวังเช่นเดียวกัน จึงจะปลอดภัยทั้งคู่
ถ้าคนขับรถยนต์ตั้งข้อสงสัยว่าทำไม รถมอเตอร์ไซค์ต้องขับแทรกอยู่บ่อย ๆ ทั้งที่ความจริงสามารถรอและขับอยู่ในเลนซ้ายตามกฎหมายกำหนดก็ได้
ใช่ นั่นคือมุมมองของคนขับรถยนต์
ในมุมมองของคนขับรถมอเตอร์ไซต์ กลับมองเรื่องนี้ต่างออกไป ในเมื่อมีโอกาสให้ไปได้เร็วกว่า การหยุดรอ ทำไมต้องรอกันล่ะ ?
โดยเฉพาะบนท้องถนนที่รถติดจนได้โล่อย่าง กรุงเทพมหานคร ใครเล่าจะมานั่งรอติดต่อแถวไปเรื่อย ๆ เชื่อเถอะว่า บางครั้งคนขับรถยนต์เองก็มีความคิดอยากเปลี่ยนรถตนเองให้กลายเป็นรถมอเตอร์ไซค์เพื่อจะได้ซิกแซกไป WFH เช่นเดียวกัน
ถ้ายังจำกันได้ถึงกฎหมายเรื่องการใช้ถนน ในระยะหลังเริ่มมีการห้ามรถมอเตอร์ไซค์ขึ้นสะพานและลงอุโมงค์อย่างจริงจัง ทว่าเมื่อมีการห้ามเช่นนี้เกิดขึ้น กลับสร้างกระแสตอบรับในทางลบจากเหล่าคนขับมอเตอร์ไซค์อย่างมาก เรียกไดว่าเป็นเสียงโอดครวญเลยล่ะ
เหตุผลมาจากว่า ถนนทุกคนเสียภาษีเท่านั้น แต่ทำไมรถมอเตอร์ไซค์จึงใช้ถนนไม่ได้เท่าเทียมกับคนใช้รถยนต์ ทั้ง ๆ ที่การสร้างสะพานและอุโมงค์นั้นก็มาจากภาษีตนเช่นเดียวกัน
คำตอบจากฝั่งผู้ใช้รถยนต์คือ สะพานค่อนข้างมีเลนถนนที่คับแคบและเสี่ยงต่อการชนท้ายได้ง่าย เพราะสะพานมีความชันและจำเป็นในการใช้ความเร็วเพิ้อขับขึ้นและคอยเหยียบเบรกเมื่อต้องขับลงจากสะพาน
ทว่ารู้หรือไม่ การที่รถยนต์ต้องคอยเหยียบเบรกให้มอเตอร์ไซค์ที่มีความที่ช้ากว่า นั่นคือปัจจัยที่เสี่ยงจะทำให้รถยนต์เกิดอุบัตเหตุ และมีสิทธิ์ที่จะเบรกไม่ทันจนเกิดอุบัติเหตุขึ้นก็เป็นได้
สำหรับคนขับรถยนต์ไม่ได้หมายความว่าไม่กลัวตาย แต่คนขับรถมอเตอร์ไซค์ต้องระมัดระวังและกลัวตายมากกว่า เพราะคนขับมอเตอร์ไซค์ต้องระวังการโดนชนให้มากที่สุด
อย่างที่ทุกคนรู้กันว่ามอเตอร์ไซค์คือ “หนังหุ้มเหล็ก” หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นครั้งหนึ่ง ร่างกายก็จะได้รับผลกระทบเต็ม ๆ ไม่เหมือนรถยนต์ที่หากเกิดการเฉี่ยวชนก็ยังมีโครงเหล็กที่รองรับอยู่ ทั้งยังมีถุงลมด้านหน้าเสริมความปลอดภัยอีกด้วย
อีกหนึ่งสิ่งที่คนขับมอเตอร์ไซค์ต้องระแวง คือเรื่องของการเปิดไฟเลี้ยว เพราะรถมอเตอร์ไซค์เวลาขับอยู่ตรงเส้นระหว่างเลน จู่ ๆ ก็มีรถยนต์คันหนึ่งเปลี่ยนเลนโดยขับเบียดที่ไม่ให้สัญญาณไฟ จึงทำให้รถมอเตอร์ไซค์เปลี่ยนเลนหรือหลบหลีกไม่ทัน เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุเป็นอย่างมาก
สำหรับรถยนต์การเปลี่ยนเลน หากมองในมุมของรถยนต์ด้วยกันเองจะค่อนข้างสังเกตได้ง่าย แต่ขณะที่เป็นมุมมองของรถมอเตอร์ไซค์ การเปลี่ยนเลนของรถยนต์โดยไม่เปิดไฟเลี้ยว ย่อมสังเกตได้ยากและทำให้เกิดการชนอยู่บ่อยครั้ง