หนึ่งในสิ่งที่สำคัญในการดูแลรถยนต์ที่สุด นั่นก็คือ “น้ำมันเกียร์” ทำหน้าที่อะไร ตามชื่อของมันเลยเป็นน้ำมันที่เอาไว้หล่อลื่นเฟืองเกียร์ เพราะเกียร์อีกอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยให้รถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ น้ำมันเกียร์จึงใส่เพื่อให้ระบบเกียร์ทำงานได้อย่างไหลลื่นไม่ติดขัด รวมไปถึงทำให้ฟันเฟืองแต่ละซี่ไม่สบกันโดยตรง ลดแรงเสียดสีของชิ้นส่วนภายในระบบเกียร์ และที่เจ๋งที่สุดเลย คือ เพื่อป้องกันสนิมที่เกิดจากความชื้นหรือปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้และขัดกับระบบทำงาน ซึ่งน้ำมันเกียร์ก็สามารถแยกออกได้เป็น 2 ประเภทด้วยกัน
ปวดหัวกันอยู่ไหม?? กับการที่เวลานำรถเข้าศูนย์ซ่อมแต่ละที ช่างก็มักจะถามว่า "ได้เปลี่ยนน้ำมันโน่นนี่นั่นแล้วหรือยัง" หนึ่งในนั้นก็มักจะมี "น้ำมันเกียร์" รวมอยู่ด้วย
จะเป็นน้ำมันที่มีความหนืดสูง เนื่องจากจะต้องนำไปใช้กับระบบคลัทช์ ด้วยการที่วิธีเปลี่ยนเกียร์ของรถยนต์เกียร์ธรรมดานั้น มักจะเกิดการเสียดสีที่ค่อนข้างสูง จึงต้องมีค่าความหนืดที่สูงกว่า ซึ่งปกติแล้วมักจะใช้ค่าความหนืดที่ 75W-85 ขึ้นไป
ในส่วนเกียร์ออโต้ น้ำมันเกียร์จะมีความหนืดน้อยกว่า เพราะระบบของเกียร์ออโต้เป็นแบบฟันเฟือง ทำให้มีการเสียดสีน้อย การเลือกใช้น้ำมันค่าความหนืดต่ำจะช่วยให้น้ำมันไหลลื่นไปเคลือบชิ้นส่วนอื่น ๆ ได้ดียิ่งขึ้น โดยส่วนใหญ่จะใช้ค่าความหนืดที่ OW-5 หรือ 5W-10
1. ไม่กัดกร่อนวัสดุในกระปุกเกียร์ เช่น โลหะ ยาง พลาสติก หรือวัสดุอื่น ๆ ได้
2. ไม่สามารถติดไฟได้ ไม่เสื่อมสภาพ และทนต่อความร้อนสูง
3. ป้องกันการเกิดสนิม ป้องกันความชื้น ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดฟองตามมา
4. ไม่มีความหนืดมาก มีลักษณะใสที่อุณหภูมิต่ำ สามารถแทรกซึมผ่านวาล์วหรือช่องว่างต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
จะรู้ได้อย่างไรว่าน้ำมันเกียร์ในรถของเราเสื่อมคุณภาพ และไม่ไหวจะใช้อีกต่อไปแล้ว ง่าย ๆ เลยเพียงแค่ดูสีของน้ำมันเกียร์ เดิมทีแล้วน้ำมันจะเป็นสีเหลืองไม่ก็เป็นสีแดง ซึ่งถ้าหากเปิดออกมาดูแล้วพบบว่าเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลหรือสีดำ นั่นคือสัญญาณที่ว่าควรเปลี่ยนได้แล้ว โดยขั้นตอนการตรวจสอบมีดังนี้
1. ให้เข้าเกียร์ P และดึงเบรกมือ
2. ดึงก้านวัดขึ้นและค่อย ๆ ทำความสะอาดบริเวณก้านวัด
3. เสียบก้านวัดกลับไปที่เดิม และดึงกลับขึ้นมาใหม่
4. สังเกตรอยน้ำมัน ระดับก้านวัดจะมีรอย 4 รอย คือ 2 รอยล่าง แสดงระดับขณะเครื่องเย็น และ 2 รอยบน ขณะเครื่องร้อนหรือเครื่องยนต์ทำงาน
อย่าแค่มานั่งรอให้น้ำมันนั้นเปลี่ยนสีจากสีเดิมเป็นสีดำ จริง ๆ แล้วมันมีระยะเวลาที่เหมาะสมกับการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันในแต่ละครั้งอยู่ ซึ่งการเปลี่ยนแต่ละครั้งแนะนำอยู่ที่ทุก ๆ 20,000 กิโลเมตร (ถึอว่ามากพอสมควรเลย) ซึ่งยอมเปลี่ยนก่อนที่น้ำมันเหล่านี้จะทำให้ระบบเกียร์พัง แต่ที่จะแค่เสียแค่ค่าน้ำมัน ทีนี้ได้เสียเสียค่ายกระบบเกียร์ใหม่แทนก็ไม่ไหวเหมือนกัน
เกิดได้จากหลากหลายปัจจัยเป็นอย่างมาก ซึ่งส่วนใหญ่ที่พบเจอกัน คือ ซื้อน้ำมันเกียร์ที่ไม่ได้คุณภาพ และไม่ตรงกับประเภทของเกียร์ที่ใช้นำมาเปลี่ยน ซึ่งก็จะทำให้น้ำมันนั้นเสื่อมสภาพได้เร็วยิ่งขึ้น ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้นาน ๆ ก็อาจจะส่งผลให้รถยนต์เกิดอาการต่างๆ ได้ถ้าไม่ยอมเปลี่ยน
ปัญหาที่จะเจอหลัก ๆ ก็จะเกิดที่ระบบเกียร์นี่แหละ ซึ่งจะมีอาการบ่งบอกระหว่างขับรถอย่างชัดเจน ซึ่งหากทนขับต่อไปต้องไม่ดีแน่ ๆ ซึ่งรถยนต์จะเกิดอาการแปลก ๆ ต่อไปนี้
1. เกียร์จะสะดุด เมื่อเข้าเกียร์ขับเคลื่อน อย่างเกียร์ D หรือเกียร์ R
2. เมื่อเปลี่ยนเกียร์แล้ว เกียร์ไม่ทำงานในทันที
3. เมื่อเปลี่ยนเกียร์แล้วเกิดเสียงดัง ครืด ๆ เหมือนมันอะไรติดขัดอยู่
4. นำมันหมดเร็วขึ้น เพราะเกิดมาจากเกียร์ที่ทำงานไม่สอดคล้องกับเครื่องยนต์